จากข้อมูลของสมาคมมะเร็งวิทยาแห่งประเทศไทยระบุว่า “มะเร็งตับ” เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้คนไทยเสียชีวิต เพราะประเทศไทยอยู่ในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือเป็นแหล่งของโรคไวรัสตับอักเสบ B และ C เมื่อเป็นแบบเรื้อรังแล้วจะกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด และมะเร็งตับมักไม่แสดงอาการเมื่อเป็นระยะเริ่มแรก กว่าจะรู้ตัว..คนไข้ก็เป็นในระยะมากแล้ว ซึ่ง นายแพทย์อนุสรณ์ ติระรัตน์ชัยเลิศ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีร่วมรักษาและภาพรังสีวินิจฉัยชั้นสูง โรงพยาบาลพญาไท 2 ได้อธิบายถึงวิธีรักษามะเร็งตับด้วยการให้ยาเคมีบำบัดและอุดเส้นเลือดแดง ดังนี้…
แนวทางการรักษามะเร็งตับ
การรักษาโรคมะเร็งตับนั้น มีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ขนาดของเนื้อร้าย และการกระจายของมะเร็ง แนวทางรักษาจึงทำได้ตั้งแต่การผ่าตัด การปลูกถ่ายตับ การใช้ความร้อนหรือความเย็น การให้ยาเคมีบำบัดทางเส้นเลือด เป็นต้น
การให้ยาเคมีบำบัดและอุดเส้นเลือดแดง…อีกทางเลือกหนึ่งของการรักษา
เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่แตกต่างจากอวัยวะอื่นตรงที่มีเส้นเลือดไปเลี้ยง 2 ระบบ คือเส้นเลือดแดงกับเส้นเลือดดำ เมื่อมีมะเร็งก่อตัวขึ้น มันจะถูกเลี้ยงโดยเส้นเลือดแดงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเส้นเลือดดำมักจะไปเลี้ยงเนื้อตับส่วนดี การให้ยาเคมีบำบัดและอุดเส้นเลือดแดง (TransarterialChemoEmbolization หรือ TACE) เป็นการรักษามะเร็งตับโดยสอดสายสวนเข้าไปยังเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง เพื่อฉีดยาเคมีบำบัดเข้าไปในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็งตับ พร้อมกับอุดเส้นเลือดแดงเส้นนั้น ทำให้เนื้อร้ายขาดเลือดไปเลี้ยง เท่ากับเป็นการทำหัตถการ 1 ครั้ง โดยหวังผล 2 อย่างในคราวเดียวกัน คือให้ยาเคมีบำบัดด้วยและตัดวงจรเลือดที่ไปเลี้ยงมะเร็งด้วย
การทำ TACE เหมาะกับการรักษาคนไข้กลุ่มใด?
หากมะเร็งตับที่คนไข้เป็นอยู่ขณะนั้น สามารถผ่าตัดได้ แพทย์จะพิจารณาให้ผ่าตัดเป็นอันดับแรก แต่การจะผ่าตัดได้ ต้องไม่มีภาวะตับแข็ง การทำงานของตับส่วนที่เหลือยังดีอยู่ ขนาดเนื้องอกไม่ใหญ่เกินไป ไม่มีการกระจายไปยังอวัยวะอื่น และส่วนของเนื้อร้ายไม่กินไปที่เส้นเลือดของตับ โดยส่วนใหญ่กว่าจะตรวจพบว่าคนไข้เป็นมะเร็ง ก็เมื่อเนื้องอกโตขึ้นจนไปเบียดอวัยวะรอบๆ และปวดมาก ซึ่ง 60% มักจะผ่าตัดไม่ได้แล้ว เมื่อผ่าตัดไม่ได้ แพทย์ก็จะพิจารณาวิธีอื่น อาจใช้เข็มแทงเข้าไปที่ก้อน แล้วให้ความร้อนที่ปลายเข็ม เพื่อทำลายเนื้องอกโดยตรง เรียกว่าการรักษามะเร็งด้วยคลื่นความถี่สูง Radiofrequency Ablation (RFA) แต่ถ้ามีเนื้องอกหลายก้อน (มากกว่า 3 ก้อน) แต่ละก้อนขนาดใหญ่เกิน 3 เซนติเมตร มะเร็งกินเนื้อตับไม่เกิน 70% ไม่มีการกระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น ต่อมน้ำเหลือง ปอด และการทำงานของตับที่เหลือยังดีอยู่ จึงจะใช้วิธี TACE
การเตรียมตัวก่อนทำ TACE
งดน้ำ งดอาหาร อย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนทำ
ตรวจเลือด เพื่อดูการแข็งตัวของเลือด ดูการทำงานของตับส่วนอื่นว่ายังดีอยู่หรือไม่
โกนขนและทำความสะอาดบริเวณขาหนีบที่จะต้องสอดสายสวนเข้าไป
ใส่สายสวนปัสสาวะ
ฉีดยาชาบริเวณที่จะสอดสายสวน เพื่อให้ยาเคมีบำบัด
ข้อควรปฏิบัติหลังการรักษาด้วยวิธี TACE
หลังจากทำ TACE แล้ว คนไข้สามารถกลับบ้านได้ในวันถัดไป อาจมีอาการปวดบ้าง แต่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ และต้องดูแลแผลที่เกิดจากการใส่สายสวนไปฉีดยาเคมีบำบัดให้สะอาด และแพทย์จะนัดคนไข้มาติดตามผลเป็นระยะๆ ทำเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ดูการตอบสนองว่ายาที่ฉีดเข้าไปทำให้เนื้องอกตายหมดหรือไม่ ถ้าตายไม่หมดก็ทำซ้ำ ถ้าตายหมดก็จะคอยติดตามดูอาการว่ามีเนื้อร้ายเกิดขึ้นใหม่หรือเปล่า
ในการทำ TACE อาจมีผลค้างเขียงเล็กน้อย
ผลข้างเคียงจากการรักษาวิธีนี้ อาจมีบ้าง..แต่ไม่รุนแรง เช่น มีไข้ต่ำๆ คลื่นไส้ อาเจียน มีเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น ปวดบริเวณที่ทำเล็กน้อย เป็นอยู่ประมาณ 2-3 วันก็จะดีขึ้น อาการดังกล่าวเป็นผลมาจากการอุดเส้นเลือด ซึ่งเป็นอาการปกติที่เมื่ออวัยวะขาดเลือดก็จะมีปฏิกิริยาตอบสนองร่างกาย ทั้งนี้ไม่มีผลข้างเคียงจากยาเคมี
น.พ.อนุสรณ์ กล่าวถึงข้อดีของการทำ TACE ว่า เนื่องจากคนไข้กลุ่มที่มารับการรักษาด้วยวิธีนี้ เป็นคนไข้ที่ผ่าตัดไม่ได้แล้ว ใช้ความร้อนจี้ก็ไม่ได้ เท่ากับหมดวิธีที่จะรักษา TACE จึงเป็นเหมือนทางเลือกที่ช่วยชะลอให้ก้อนเนื้อร้ายโตช้าลง ซึ่งดีกว่าปล่อยให้คนไข้เป็นไปตามโรคโดยไม่ทำอะไร ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้คนไข้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น อายุยืนขึ้น อาจทำให้คนไข้สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ 6 – 20 เดือน ซึ่งในเคสที่คุณหมอรักษามาก็เคยพบคนไข้ที่มีชีวิตอยู่ได้ถึง 5 ปี โดยไม่มีเนื้องอกเกิดขึ้นใหม่เลย นอกจากนี้ยังเจ็บตัวน้อย และใช้เวลาพักฟื้นสั้นกว่าการผ่าตัดมาก TACE จึงเป็นวิธีรักษามะเร็งตับอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ในปัจจุบัน
การรักษาโรคมะเร็งตับด้วยวิธีให้ยาเคมีบำบัดและอุดเส้นเลือดแดง อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://doctorathome.com/disease-conditions/109