รู้จักกับโรคไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิดไวรัสตับอักเสบเอ (HEPATITIS A VIRUS)
ไวรัสตับอักเสบเอ ติดต่อโดยการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนไวรัส เช่น ผักสด น้ำแข็ง อาหารทะเลจำพวกมีเปลือกเช่น กุ้ง ปู หอยที่ปรุงไม่สุก ซึ่งเชื้อมีระยะฟักตัวประมาณ 2 – 6 สัปดาห์ การติดเชื้อในเด็กส่วนใหญ่มีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการ แต่ในผู้ใหญ่จะมีอาการแสดงของตับอักเสบเฉียบพลันที่รุนแรงและชัดเจนกว่า
อาการโรคไวรัสตับอักเสบเอ
    อุจจาระ สีซีด
    ปัสสาวะ สีเข้ม ตาและตัวเหลือง
    อ่อนเพลีย อาจมีไข้
    คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร
    ปวดท้อง
เด็กที่อายุน้อยกว่า 6 ปีมักไม่มีอาการ วัยรุ่นขึ้นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ส่วนใหญ่จะมีอาการตับอักเสบเฉียบพลัน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคตับอักเสบเรื้อรังจากสาเหตุอื่นมาก่อน
ผู้ที่ควรรับวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ
    เด็กอายุมากกว่า 1 ปี
    ผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรัง
    ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบเอ หรือมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ
    ผู้ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ (กลุ่มเพศชาย)
    ผู้ที่ใช้สารเสพติด
    พ่อครัวหรือแม่ครัวที่ต้องปรุงอาหารเป็นประจำ
    ผู้ที่เดินทางไปต่างประเทศที่มีความเสี่ยงด้านสุขอนามัยต่ำหรือเป็นสถานที่ที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ ควรได้รับการฉีดวัคซีนก่อนเดินทางประมาณ 1 เดือน
ไวรัสตับอักเสบบี (HEPATITIS B VIRUS)
ไวรัสตับอักเสบบี เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ ไวรัสตับอักเสบบีนั้นมีการติดต่อผ่านทางเลือด และการติดต่อจากแม่สู่ลูกซึ่งเป็นทางติดต่อที่พบมากที่สุด
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
    การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย
    การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
    การใช้เข็มสักตามตัวหรือสีที่ใช้สักตามตัวร่วมกัน และการเจาะหู
    การใช้แปรงสีฟัน มีดโกน ที่ตัดเล็บร่วมกัน
    การติดเชื้อขณะคลอดจากแม่ที่มีเชื้อ (ถ้าแม่มีเชื้อลูกมีโอกาสได้รับเชื้อ 90%)
    การถูกเข็มตำจากการทำงาน
    การสัมผัสกับเลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่ง โดยผ่านเข้าทางบาดแผล
อย่างไรก็ดี เชื้อนี้จะไม่ติดต่อกันทางลมหายใจ อาหารหรือน้ำดื่ม การให้นม และการจูบกัน (ถ้าปากไม่มีแผล)
อาการโรคไวรัสตับอักเสบบี
เชื้อจะมีระยะฟักตัวประมาณ 2-3 เดือน แล้วจึงเริ่มแสดงอาการ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาการ
    อ่อนเพลีย คล้ายเป็นหวัด
    คลื่นไส้ อาเจียน
    จุกแน่นใต้ชายโครงขวาจากตับโต
    ปัสสาวะเข้ม
    ตาเหลือง
ผู้ที่ควรรับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี
    ทารกแรกเกิดทุกราย เด็ก และวัยรุ่นที่ไม่ได้รับวัคซีนเมื่อแรกเกิด
    ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง
    ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี
    ผู้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ
    ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ทำการฟอกไต
    ผู้ป่วยที่ได้รับเลือดบ่อย ๆ
    ผู้ที่ใช้สารเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
    ผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค
ไวรัสตับอักเสบซี (HEPATITIS C VIRUS)
ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมักจะไม่ทราบมาก่อนว่ามีเชื้อนี้อยู่ในร่างกาย จะทราบก็ต่อเมื่อไปตรวจร่างกายแล้วพบค่าการอักเสบของตับผิดปกติ และตรวจเลือดพบการติดเชื้อ
การติดเชื้อไวรัสชนิดซี สามารถติดต่อกันทางเลือดหรือเพศสัมพันธ์คล้ายกับไวรัสตับอักเสบบี แต่ไม่สามารถติดต่อกันได้ทางการให้นมบุตร การจามหรือไอรดกัน การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำด้วยกัน และการใช้ถ้วยชามร่วมกัน
อาการโรคไวรัสตับอักเสบซี
ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี ส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อ เนื่องจากมักไม่แสดงอาการ ทำให้เมื่อติดเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เกิดการดำเนินของโรคแบบค่อยเป็นค่อยไป หรืออาจมีอาการน้อยและอาการเหมือนโรคทั่วไป เช่น
    เบื่ออาหาร
    อ่อนเพลีย
    ไข้ต่ำๆ
    คลื่นไส้อาเจียน
    ปัสสาวะสีเข้ม
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบซี ผู้ที่เป็นและไม่ได้รับการรักษาจะกลายเป็นไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง และในที่สุดจะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่ ตับแข็ง และมะเร็งตับ
ไวรัสตับอักเสบดี (HEPATITIS D VIRUS)
เป็นไวรัสที่ไม่สมบูรณ์ ต้องอยู่ร่วมกับไวรัสตับอักเสบบี สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางการสัมผัสกับเลือดที่มีเชื้อ ผ่านเข็มฉีดยาที่ปนเปื้อน หรือมีเพศสัมพันธ์
การติดเชื้อจะเกิดขึ้นพร้อมกับไวรัสตับอักเสบบีหรือเกิดในผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแฝงอยู่ ในร่างกาย โดยอาการจะทำให้เกิดตับอักเสบซ้ำซ้อนขึ้นมาในผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี การรักษาเป็นการรักษาร่วมกันไปกับไวรัสตับอักเสบบี
อาการโรคไวรัสตับอักเสบดี
    อุจจาระ สีซีด
    ปัสสาวะ สีเข้ม ตาและตัวเหลือง
    อ่อนเพลีย อาจมีไข้
    คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
    ปวดท้อง
ถึงแม้ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบดี แต่ยังมีวัคซีนสำหรับไวรัสตับอักเสบบี และเนื่องจากการเกิดโรคตับอักเสบดีต้องอาศัยการติดเชื้อไวรัสอักเสบบีมาก่อน เพราะฉะนั้นการได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีจะช่วยป้องกันการติดเชื้อทั้งสองสายพันธุ์ได้
ไวรัสตับอักเสบอี (HEPATITIS 5 VIRUS)
เป็นการติดเชื้อไวรัสที่ตับและทำให้ตับเกิดการอักเสบ มีลักษณะคล้ายไวรัสตับอักเสบเอคือ ไม่เป็นโรคเรื้อรังเหมือนโรคไวรัสตับอักเสบบี ซี และดี และเมื่อร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อแล้วก็จะหายเป็นปกติ การแพร่เชื้อของโรคไวรัสตับอักเสบอี เกิดจากอาหาร น้ำดื่ม หรืออุจจาระที่มีการปนเปื้อน
อาการโรคไวรัสตับอักเสบอี
    ผิวเหลือง ตาขาว(ดีซ่าน) 
    ปัสสาวะสีเข้ม
    อุจจาระสีอ่อน
    กดเจ็บบริเวณชายโครงด้านขวา(ตำแหน่งของตับ)
    ปวดช่องท้อง
    คลื่นไส้ และมีไข้