รอยร้าวผนังและเพดาน สัญญาณเตือนอันตราย มาจากไหน ทำให้เกิดปัญหาอะไร และซ่อมแซมได้อย่างไรบ้าง มาดูกันค่ะ
หนึ่งในปัญหาที่หลาย ๆ คนต้องเคยเจอก็คือ รอยร้าวบนผนังหรือเพดาน เพราะไม่ว่าบ้านจะเก่าหรือใหม่ ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งหมด จนทำเอาอดสงสัยไม่ได้ว่า ความจริงแล้วรอยร้าวบ้านมาจากไหน แบบไหนเป็นอันตราย-ไม่เป็นอันตรายบ้าง ดังนั้นวันนี้ก็เลยจะพาทุกคนไปทำความรู้กันกับรอยร้าวแต่ละชนิดกัน รวมถึงยังเจาะลึกถึงสาเหตุที่เกิด วิธีซ่อมแซม และวิธีป้องกันไปในตัวด้วย
รอยร้าวเกิดจากอะไร ?
รอยร้าวบ้าน สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยมากทั้งในบ้านเก่าและบ้านใหม่ เนื่องจากมีปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดขึ้นได้หลากหลาย ซึ่งนอกจากสาเหตุทางธรรมชาติแล้ว ยังมีสาเหตุอื่น ๆ อีกดังต่อไปนี้
1. การทรุดตัว เนื่องจากดินยุบและทำให้เกิดเป็นโพรงใต้บ้าน ส่วนใหญ่มักจะเกิดรอยร้าวขนาดเล็ก แต่บางครั้งก็สามารถส่งผลกระทบรุนแรงได้
2. การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ที่ทำให้โครงสร้างขยายเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น และทำให้โครงสร้างหดตัวเมื่ออุณหภูมิต่ำลง
3. ปฏิกิริยาจากดินที่ขึ้นอยู่กับความชื้นและความแห้ง
4. โครงสร้างไม่ดี หรือวัสดุไม่ได้มาตรฐาน
5. ปลูกต้นไม้ใกล้บ้าน จนทำให้รากชอนไชมาทำลายโครงสร้าง หรือส่งผลกระทบเรื่องการแย่งน้ำในดิน
6. ความเสียหายจากน้ำ เช่น ท่อตันหรือน้ำรั่ว จนซึมเข้าสู่ตัวบ้าน ทำให้โครงสร้างบวมหรือเปราะบาง
7. รับน้ำหนักจากของที่แขวนหรือห้อยไว้มากเกินไป จนทำให้ตึงและเกิดรอยร้าวในที่สุด
อันตรายของรอยร้าวแต่ละชนิด
รอยร้าวบนผนังที่สังเกตเห็นได้ส่วนใหญ่ มี 4 ประเภทด้วยกัน คือ รอยร้าวแนวดิ่ง แนวนอน แบบขั้นบันได และรอยร้ายบริเวณประตูหรือหน้าต่าง ที่ทำให้เกิดปัญหาตามมา ดังนี้
1. รอยร้าวแนวดิ่ง
รอยร้าวแนวดิ่ง หรือรอยร้าวแนวตั้ง สามารถพบเห็นได้ตามปกติ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรง และซ่อมแซมค่อนข้างง่าย ส่วนใหญ่มาจากปัญหาบ้านหดหรือทรุดตัวเพียงเล็กน้อย โดยรอยร้าวแนวดิ่งที่เกิดขึ้นตามมุมและวงกบของประตู-หน้าต่าง เป็นสัญญาณบอกถึงการทรุดตัวของบ้าน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นหลังจากสร้างเสร็จได้ไม่นาน
รอยราวแนวดิ่งที่ด้านบนกว้างกว่าด้านล่าง เป็นสัญญาณบอกว่าตัวบ้านด้านข้างทรุดลง หรือตัวบ้านตรงกลางยกขึ้น
รอยร้าวแนวดิ่งที่ด้านล่างกว้างกว่าด้านบน เป็นสัญญาณบอกว่าตัวบ้านตรงกลางทรุดลง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารอยราวลักษณะนี้จะไม่เป็นอันตราย แต่ถ้ามีขนาดกว้างกว่า 3 มิลลิเมตรขึ้นไป อาจจะสื่อถึงปัญหาทางด้านฐานรากหรือการทรุดตัวอย่างรุนแรงได้ ฉะนั้นควรหมั่นสังเกตและวัดขนาด หากผิดปกติควรให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบจะดีที่สุด
2. รอยร้าวแนวนอน
รอยร้าวแนวนอน หรือราวร้าวแนวทแยงลงมา 45 องศา มีระดับความรุนแรงต่างจากรอยร้าวแนวดิ่งมาก เพราะสื่อถึงปัญหาหนักเกี่ยวกับฐานราก อาจหมายความได้ว่าผนังกำลังเริ่มพังแล้ว ซึ่งก็เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความเสียหายจากน้ำ หรือการเลื่อน การทรุด และการขยับตัวของดิน ดังนั้นถ้าหากเจอรอยร้าวแนวนี้ ควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญโดยด่วน เพราะยิ่งรอยร้าวมาพร้อมกับการโค้งงอหรือนูนขึ้นของผนังด้วยละก็ ยิ่งสื่อถึงความร้ายแรงมากเลยทีเดียว
3. รอยร้าวแบบขั้นบันได
รอยร้าวแบบขั้นบันได มักจะพบในผนังอิฐ ซึ่งถ้าหากเป็นรอยร้าวขนาดเล็ก จะสื่อถึงอายุการใช้งานปกติ ไม่น่ากังวลเท่าไร แต่ถ้าหากเป็นรอยร้าวขนาดใหญ่ มากกว่า ½ นิ้ว จะสื่อถึงปัญหาจากฐานรากหรือโครงสร้าง เช่น การทรุดตัวของดินใต้กึ่งกลางของผนัง ซึ่งวิธีเดียวที่จะระบุความเสียหายหรือหาทางแก้ไขก็คือ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญนั่นเอง
4. รอยร้าวบริเวณประตูหรือหน้าต่าง
รอยร้าวบริเวณประตูหรือหน้าต่าง อาจจะรุนแรงหรือไม่รุนแรงก็ได้ โดยมีเคล็ดลับในการเช็กง่าย ๆ คือ ให้ลองเปิด-ปิดประตูห้องนอนหรือห้องน้ำดูว่าติดขัดหรือเปล่า ถ้าหากติดขัดและไม่ได้เป็นเพราะปัจจัยอื่น อาจจะสื่อได้ว่าฐานรากมีการขยับระดับปานกลางถึงรุนแรง จนทำให้เกิดรอยร้าวบนผนังบริเวณประตูและหน้าต่างขึ้น
ทั้งนี้อาจจะสังเกตจากช่องบนกรอบประตูหรือหน้าต่างร่วมด้วยก็ได้ เพราะถ้าเห็นช่องว่างหรือแสงเล็ดลอดเข้ามา อาจจะสื่อถึงปัญหาฐานรากหรือการทรุดตัว จนทำให้เกิดรอยร้าวนั่นเอง
เพดาน
รอยร้าวบนผนังที่สังเกตเห็นได้ส่วนใหญ่ มี 3 ประเภทด้วยกัน คือ รอยร้าวแนวดิ่ง แบบใยแมงมุม และรอยร้าวจากเพดานยุบตัว ส่งผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ดังนี้
รอยร้านเพดาน
1. รอยร้าวแนวดิ่ง
รอยร้าวแนวดิ่ง หรือรอยร้าวแนวตั้ง มีลักษณะของรอยร้าวเป็นเส้นตามแนวยาวตั้งแต่เพดานลงมาจนถึงผนัง สื่อถึงความเสียดายทางด้านโครงสร้าง การทรุดตัวของฐานราก หรือผนังเปราะบาง ซึ่งเป็นปัญหาที่ค่อนข้างจะรุนแรง ควรรีบให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบและแก้ไขจะดีที่สุด
2. รอยร้าวแบบใยแมงมุม
รอยร้าวแบบใยแมงมุม สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งบนเพดาน ผนัง และพื้นบ้าน เป็นรอยร้าวที่มีขนาดเล็ก พบเห็นได้ตามปกติ ส่วนใหญ่ไม่มีความรุนแรงหรือปัญหาอะไร เพราะมักจะเกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้นของบ้าน ทว่าถ้าหากรอยร้าวลักษณะนี้มีขนาดกว้างถึง 1/16 นิ้ว ควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพราะอาจสื่อถึงการทรุดตัวหรือปัญหาฐานรากตั้งแต่แรกเริ่มได้
3. รอยร้าวที่มาพร้อมกับการยุบตัวของเพดาน
รอยร้าวที่มาพร้อมกับการยุบหรือพองตัวของเพดาน พบได้ค่อนข้างบ่อย ซึ่งอาจจะแสดงว่าฐานรากเริ่มมีปัญหา จนทำให้เพดานเคลื่อนตัวและเกิดรอยร้าวตามมา จึงถือเป็นรอยร้าวที่มีความรุนแรงชนิดหนึ่ง ถ้าหากพบแล้วควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญโดยเร็ว
วิธีรับมือและซ่อมแซมรอยร้าวบ้าน
วิธีรับมือเมื่อพบรอยร้าวบนผนังและเพดานบ้าน ขั้นแรกให้เราตรวจสอบชนิดและวัดขนาดให้เรียบร้อย ถ้าหากเป็นรอยเล็กที่ไม่เป็นอันตรายก็ปล่อยทิ้งเอาไว้ได้ หรือใครอยากจะซ่อมแซมก็ทำได้หลายวิธี เช่น อุดด้วยวัสดุอุดโป๊วรอยร้าว ปิดด้วยโพลียูรีเทน ซีแลนท์ ฉาบด้วยซีเมนต์ซ่อมแซม และทาด้วยครีมซ่อมผนัง ทั้งนี้ต้องพิจารณาให้ชัวร์ว่ารอยร้าวนั้น ๆ ไม่ได้มาจากปัญหาโครงสร้างจริง ๆ เพราะไม่เช่นนั้นก็มีโอกาสจะเกิดซ้ำอีกครั้งได้
วิธีซ่อมรอยร้าวผนัง
ส่วนรอยร้าวขนาดใหญ่และมีความเสี่ยงสูง รอยร้าวที่มาพร้อมกับความชื้น รอยร้าวที่ทำให้ผนังนูน และรอยร้าวที่เกิดขึ้นตรงกลางผนังและเพดาน ควรเรียกผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบจะดีที่สุด โดยถ้าพบว่าสาเหตุมาจากปัญหาโครงสร้างและฐานราก ทางช่างจะได้แก้ไขที่ต้นตอ ด้วยการฉีดซีเมนต์เสริมความแน่นใต้ดิน ใช้ที่ยึดผนังให้แข็งแรง หรือหนุนฐานรากบ้าน เป็นต้น
นอกจากนี้ เรายังสามารถป้องกันไม่ให้เกิดรอยร้าวจากความเสียหายของฐานรากได้อีกด้วย โดยต้องดูแลดินรอบบ้านให้แข็งแรงมั่นคง ปลูกต้นไม้ขนาดเล็กให้ห่างจากบ้านอย่างน้อย 2 เมตร และปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่ให้ห่างจากบ้านอย่างน้อย 5-10 เมตรนั่นเอง
มาถึงตอนนี้คงจะพอรู้กันแล้วว่ารอยร้าวบ้านแบบไหนเป็นอันตราย-ไม่เป็นอันตรายบ้าง ฉะนั้นถ้าหากพบรอยร้าวเล็ก ๆ ก็ไม่ต้องกังวลใจไป ลองตรวจสอบและวัดขนาดให้แน่ชัด แล้วซ่อมแซมด้วยตัวเองก็ได้ แต่ถ้าหากรอยร้าวเริ่มมีขนาดใหญ่หรือผิดปกติละก็ ขอแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่า เพราะหากเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมา จะได้รีบจัดการได้ทันนั่นเอง
ซ่อมบำรุงอาคาร: วิธีสังเกต รอยร้าวผนัง-เพดาน สัญญาณเตือนอันตราย รีบซ่อมก่อนบ้านทรุด อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://snss.co.th/dt_post/technical-services/